เตรียมพร้อมก่อนเริ่ม ! ต้นทุนขายของออนไลน์ต้องมีอะไรบ้าง ?

ด้วยค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน ทำให้การมีอาชีพเดียวอาจไม่เพียงพอ การขายของออนไลน์จึงเป็นอีกทางเลือกสร้างรายได้ที่หลายคนสนใจ แต่การจะเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้น การทำความเข้าใจถึงต้นทุนขายและค่าใช้จ่ายในการขายของออนไลน์ว่าต้องมีอะไรบ้างจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งความเข้าใจนี้ไม่เพียงช่วยในการวางแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการสร้างกำไรให้แก่ธุรกิจได้เป็นอย่างดี

รู้จักประเภทต้นทุนและค่าใช้จ่าย

ก่อนลงมือขายของออนไลน์ต้องเข้าใจโครงสร้างต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่สำคัญ ดังนี้

• ต้นทุนขาย (Cost of Goods Sold – COGS) หมายถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการผลิตหรือจัดหาสินค้า เช่น ค่าวัตถุดิบหรือสินค้าที่สั่งซื้อเข้ามาขาย
• ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (Selling and Administrative Expenses) เป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับการผลิตโดยตรง แต่จำเป็นสำหรับการดำเนินธุรกิจ เช่น ค่าโฆษณา ค่าสาธารณูปโภค หรือค่าแรงงานต่าง ๆ

เจาะรายละเอียดต้นทุนของร้านค้าออนไลน์

ต้นทุนและค่าใช้จ่ายพื้นฐานในการขายของออนไลน์ ซึ่งผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจควรรู้ เพื่อนำมาใช้ในการคำนวณราคาขายสินค้า รวมถึงสำรองเงินให้เพียงพอต่อการเริ่มต้นทำธุรกิจ โดยหลักแล้วมีดังต่อไปนี้

ค่าบริหารจัดการสต๊อกสินค้า

สต๊อกสินค้า เป็นต้นทุนสำคัญที่สุดสำหรับผู้ขายของออนไลน์ หากจัดการได้ไม่ดี อาจก่อให้เกิดปัญหาสินค้าค้างสต๊อก กลายเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าเช่าคลังสินค้า ค่าดูแลรักษา หรือการเสื่อมคุณภาพของสินค้า หรือถ้าสต๊อกสินค้าน้อยเกินไป ก็อาจทำให้เกิดสินค้าหมดสต๊อก ส่งผลให้สูญเสียโอกาสในการขาย และสร้างความไม่น่าเชื่อถือให้แก่ลูกค้าอีกด้วย

ค่าวัตถุดิบ

สำหรับผู้ขายสินค้าที่ต้องดำเนินการผลิตด้วยตัวเอง ค่าวัตถุดิบถือเป็นต้นทุนสำคัญซึ่งส่งผลต่อทั้งต้นทุนรวมและคุณภาพของสินค้า ดังนั้นผู้ประกอบการจึงควรเปรียบเทียบราคาจากซัพพลายเออร์หลายราย เพื่อให้ได้วัตถุดิบคุณภาพสูง แต่คุ้มค่า และสามารถนำมาใช้ในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์มากที่สุด

ค่าอุปกรณ์แพ็กสินค้า

อุปกรณ์แพ็กสินค้า เช่น กล่อง กระดาษห่อ บับเบิลกันกระแทก และเทปกาว เป็นปัจจัยสำคัญซึ่งจะช่วยในการส่งมอบสินค้าให้ถึงมือลูกค้าอย่างปลอดภัย โดยอุปกรณ์ที่มีคุณภาพจะช่วยลดความเสียหายระหว่างการขนส่ง ลดต้นทุนอันเกิดจากสินค้าเสียหาย ดังนั้นผู้ประกอบการจึงควรให้ความใส่ใจในอุปกรณ์คุณภาพ รวมถึงพิจารณาเปรียบเทียบราคาจากหลายแหล่งจัดจำหน่าย เพื่อให้ได้ราคาคุ้มค่ามากที่สุด

ค่าจ้างแรงงาน

หากร้านค้ามีการจ้างพนักงาน เช่น ผู้ช่วยแพ็กสินค้า หรือดูแลระบบคำสั่งซื้อ ควรคำนวณต้นทุนแรงงานเป็นรายเดือน และกำหนดหน้าที่ให้ชัดเจน เพื่อความราบรื่นในการทำงาน หรือการใช้บริการ Fulfilment ที่รวมการแพ็กสินค้าและจัดส่งไว้ครบวงจร นับเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยลดภาระค่าจ้างแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ค่าจัดส่งสินค้า

การจัดส่งสินค้าให้ลูกค้า เป็นหนึ่งในต้นทุนที่ผันแปรตามระยะทาง น้ำหนัก และขนาดของสินค้า ผู้ประกอบการจึงควรเปรียบเทียบราคาขนส่งจากผู้ให้บริการต่าง ๆ และเลือกบริการที่คุ้มค่าที่สุด รวมถึงต้องคำนวณค่าจัดส่ง ซึ่งจะเก็บจากผู้สั่งซื้อสินค้าอย่างรอบคอบ เพราะถ้าค่าจัดส่งสูงเกินไป อาจทำให้ลูกค้าเปลี่ยนใจไม่ซื้อสินค้า แต่ถ้าเก็บค่าจัดส่งไม่ครอบคลุม ก็จะกลายเป็นภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้

ค่าโฆษณาและการตลาด

การทำตลาดออนไลน์ เช่น การยิงโฆษณาผ่าน Facebook Ads หรือ Google Ads เป็นหนึ่งในต้นทุนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากต้องการให้ร้านค้าเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากยิ่งขึ้น โดยค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ควรวางแผนให้ชัดเจน และเลือกแพลตฟอร์มที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด อีกทั้งการเข้าร่วมแคมเปญลดราคาของแพลตฟอร์ม เช่น 11.11 หรือ 12.12 ก็เป็นอีกวิธีในการเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ค่าจ้างออกแบบ

หากต้องการให้สินค้าโดดเด่นและเป็นที่จดจำในโลกออนไลน์ จำเป็นต้องมีการออกแบบทั้งโลโก้ แบนเนอร์ หรือแพ็กเกจสินค้า ดังนั้น การจ้างนักออกแบบมืออาชีพ ถือเป็นการลงทุนอันคุ้มค่า เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและน่าเชื่อถือให้แก่ร้านค้าออนไลน์

ค่าสาธารณูปโภคและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ

ค่าสาธารณูปโภคและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าโปรแกรมจัดการร้านค้าออนไลน์ หรือค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม เมื่อรวมกันแล้ว นับว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ผู้ประกอบการจึงควรคำนึงถึงต้นทุนขายสินค้าในส่วนนี้ด้วยทุกครั้ง เพื่อการบริหารจัดการร้านค้าออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างผลกำไรสูงสุด

บริการ Fulfilment ช่วยลดต้นทุน ดูแลให้การดำเนินธุรกิจออนไลน์มีประสิทธิภาพ

บริการ Fulfilment คือกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการคำสั่งซื้อสินค้า ตั้งแต่การรับคำสั่งซื้อ การจัดเก็บ การแพ็กสินค้า ไปจนถึงการจัดส่งถึงมือลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยลดภาระงานและเพิ่มความสะดวกในกระบวนการจัดการสินค้าให้เป็นระบบมากขึ้น ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพและช่วยลดต้นทุนในหลายด้าน ดังนี้

ลดต้นทุนการตลาด

บริการ Fulfilment ช่วยเก็บข้อมูลจากช่องทางการขายต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ ทำให้สามารถวางแผนโฆษณา โดยเลือกกลุ่มเป้าหมายและกลยุทธ์ทางการตลาดที่เหมาะสมที่สุด

จัดการสต๊อกสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ

ระบบจัดการสต๊อกของ Fulfilment จะช่วยลดปัญหา Overstock (สินค้าค้างสต๊อก) ที่อาจทำให้เกิดต้นทุนเก็บรักษาสินค้า หรือ Understock (สินค้าหมดสต๊อก) ที่อาจทำให้เสียโอกาสในการขายไปอย่างน่าเสียดาย

ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการดูแลระบบหลังบ้าน

Fulfilment ช่วยลดภาระในการจัดการงานหลังบ้านต่าง ๆ เช่น การสต๊อกสินค้า ออเดอร์สั่งซื้อ การแพ็กสินค้า รวมถึงการจัดส่ง ทำให้ธุรกิจประหยัดเวลา และลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Fulfilment ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนด้านการตลาดและการจัดการ แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ทุกขั้นตอนของธุรกิจ ตั้งแต่การจัดเก็บสินค้า การจัดส่งสินค้า ไปจนถึงการบริหารจัดการคำสั่งซื้อ ด้วยระบบซื้อขายสินค้าที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและครอบคลุมทุกความต้องการของผู้ประกอบการ จึงสามารถลดต้นทุนและเวลา ในขณะเดียวกันก็เพิ่มศักยภาพการขายได้อย่างยั่งยืน

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจ เราขอแนะนำ Scale Up Fulfilment ที่รับดูแลร้านค้าออนไลน์ Shopee, Lazada และ TikTok อย่างครอบคลุม เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการเปิดร้านค้าออนไลน์ การสร้างรายการสินค้า การบริหารงบการตลาดและเข้าร่วมแคมเปญต่าง ๆ บน Marketplace ไปจนถึงการบริหารจัดการสต๊อกสินค้าและคำสั่งซื้อแบบครบวงจร เพื่อลดความซับซ้อนในการดำเนินธุรกิจออนไลน์ ทำให้แบรนด์สามารถมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาสินค้าและการบริการลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น

ติดต่อเราวันนี้ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง LINE ID : https://lin.ee/HPXeKAo หรือโทร. 098 991 9356

ข้อมูลอ้างอิง

1. ‘ขายของออนไลน์’ ต้องมี ‘ต้นทุน’ อะไรบ้าง ?. สืบค้นข้อมูลเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2567 จาก https://www.bangkokbiznews.com/business/947853