บทความ

บริการระบบ OMS ตัวช่วยจัดการคำสั่งซื้ออย่างมีประสิทธิภาพ

เผยแพร่โดย Scale Up Fulfilment Profileวันที่เผยแพร่ : 11/25/2024

ประโยชน์ของระบบ OMS ที่ช่วยจัดการกับคำสั่งซื้อ

ไม่ว่าใครก็เป็นแม่ค้าได้ ! คงเป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงในยุคสมัยปัจจุบัน แต่การจะทำให้ธุรกิจบรรลุเป้าหมายจนประสบความสำเร็จกลับเป็นเรื่องท้าทายกว่าที่คิด ทำให้ผู้ประกอบการต่างมุ่งมั่นสร้างประสบการณ์การซื้อสินค้าที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า ระบบ OMS (Order Management System) จึงเปรียบเสมือนหัวใจสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการกับคำสั่งซื้อของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม่นยำ และรวดเร็ว

ระบบ OMS คืออะไร ?

ระบบ OMS หรือ Order Management System คือระบบจัดการคำสั่งซื้อที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ธุรกิจบริหารจัดการและติดตามคำสั่งซื้อ ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการจัดส่งสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซและการขายสินค้าออนไลน์ ซึ่งระบบ OMS จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางรวบรวมข้อมูลคำสั่งซื้อจากหลากหลายช่องทางการขาย จัดการสินค้าคงคลัง และประสานงานกับระบบอื่น ๆ เช่น ระบบการเงิน ระบบโลจิสติกส์ เพื่อให้กระบวนการทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ

ฟีเจอร์หลักของระบบ OMS

ระบบ OMS มีฟีเจอร์ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการคำสั่งซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การดำเนินงานในด้านการขายเป็นระบบ ลดความยุ่งยาก โดยมีฟีเจอร์หลักที่มักพบในระบบนี้ ได้แก่

1. การรวบรวมคำสั่งซื้อจากทุกช่องทาง

ระบบ OMS สามารถรวบรวมคำสั่งซื้อจากหลากหลายช่องทาง ทั้งจากเว็บไซต์และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ หรือแม้กระทั่งหน้าร้านค้า ทำให้ธุรกิจสามารถจัดการคำสั่งซื้อทั้งหมดได้ในระบบเดียว ไม่ต้องเข้าไปตรวจสอบคำสั่งซื้อทีละช่องทาง ลดความสับสนและเพิ่มความสะดวกในการจัดการอย่างมาก

2. การตรวจสอบสต๊อกสินค้าแบบเรียลไทม์

การใช้ระบบ OMS ช่วยให้สามารถตรวจสอบสต๊อกสินค้าได้แบบเรียลไทม์ โดยข้อมูลสินค้าจะถูกอัปเดตอัตโนมัติเมื่อมีการขายสินค้าออก หรือมีการนำสินค้าเข้าคลัง ช่วยป้องกันการขายสินค้าที่หมดสต๊อกไปแล้ว (Overselling) อีกทั้งยังช่วยให้สามารถวางแผนการเติมสต๊อกได้อย่างแม่นยำ ลดโอกาสการเกิดสินค้าขาดสต๊อก หรือสินค้าล้นสต๊อก

3. การจัดการและติดตามการจัดส่ง

ระบบ OMS ช่วยให้ธุรกิจจัดการและติดตามการจัดส่งสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อคำสั่งซื้อได้รับการยืนยัน ระบบจะทำการสร้างคำสั่งการจัดส่งสินค้าและประสานกับบริการขนส่ง ทำให้สามารถติดตามสถานะการจัดส่งได้ทุกขั้นตอน ช่วยให้มั่นใจได้ว่าสินค้าจะถึงมือลูกค้าตรงตามเวลาที่กำหนด

4. การติดตามสถานะคำสั่งซื้อ

ลดปัญหาการติดต่อสอบถามซ้ำซ้อน และสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้า โดยจะบันทึกและอัปเดตสถานะคำสั่งซื้อให้ทราบทุกขั้นตอน ตั้งแต่การรับคำสั่งซื้อ การจัดเตรียมสินค้า ไปจนถึงการจัดส่ง ทำให้ทั้งพนักงานและลูกค้าสามารถติดตามคำสั่งซื้อได้อย่างละเอียดและชัดเจน ที่สำคัญคือลูกค้าสามารถตรวจสอบสถานะการจัดส่งได้ตลอดเวลา

5. การจัดการคืนสินค้าและการคืนเงิน

บริการระบบ OMS ช่วยให้สามารถจัดการกับการคืนสินค้า (Returns) และการคืนเงิน (Refunds) ได้อย่างสะดวก โดยระบบจะบันทึกคำขอคืนสินค้าและประสานงานกับทีมที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ระบบยังสามารถตรวจสอบเงื่อนไขการคืนสินค้า ทำให้มั่นใจว่าทุกการคืนสินค้าเป็นไปตามนโยบายของธุรกิจ ลดปัญหาการสูญเสียและเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า

ระบบ OMS คือตัวช่วยสำคัญในการจัดการและวิเคราะห์ข้อมูล

6. การรายงานและวิเคราะห์ข้อมูล

ระบบ OMS มีฟีเจอร์ในการสร้างรายงานและการวิเคราะห์ข้อมูลคำสั่งซื้อและยอดขายในรูปแบบที่เข้าใจง่าย โดยรายงานเหล่านี้สามารถแสดงผลได้ตามช่วงเวลาที่ต้องการ เช่น รายงานยอดขายรายวัน รายเดือน หรือรายปี ทำให้สามารถใช้ข้อมูลเชิงลึกนี้ในการวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจ รวมถึงปรับปรุงการทำงานให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดอย่างทันท่วงทีได้ดียิ่งขึ้น

7. การจัดการโปรโมชันหลากหลายรูปแบบให้เป็นระบบที่ตรวจสอบได้

ทำให้สามารถจัดการโปรโมชันและส่วนลดได้อย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นโปรโมชันเฉพาะกลุ่มลูกค้า หรือโปรโมชันส่วนลดเฉพาะช่วงเวลา โดยระบบสามารถควบคุมและตรวจสอบรายละเอียดของแต่ละโปรโมชันได้อย่างชัดเจน ช่วยลดความสับสนและความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการจัดการโปรโมชันหลายประเภท

ประโยชน์ของการใช้งานระบบ OMS

การใช้งานระบบ OMS มีข้อดีหลายประการ ที่ช่วยให้ธุรกิจออนไลน์สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ดังนี้

เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคำสั่งซื้อ

ช่วยให้การทำงานเป็นระบบและสะดวกมากขึ้น ลดขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อน ซึ่งช่วยให้พนักงานสามารถทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำ

ลดความเสี่ยงจากข้อผิดพลาด

ด้วยการรวบรวมข้อมูลคำสั่งซื้อจากทุกช่องทางและการอัปเดตสต๊อกสินค้าแบบเรียลไทม์ ระบบ OMS ช่วยลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการจัดการหลายช่องทาง ลดปัญหาจากคำสั่งซื้อที่ตกหล่นและการส่งสินค้าผิดพลาด

เพิ่มความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า

ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการคำสั่งซื้อและส่งสินค้าได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ลูกค้าจะได้รับสินค้าตรงตามกำหนดและได้รับการบริการที่เป็นระบบ ซึ่งส่งผลต่อความพึงพอใจ จนมีแนวโน้มกลับมาซื้อซ้ำ

ส่งเสริมยอดขายข้ามช่องทาง

สามารถเชื่อมต่อคำสั่งซื้อจากทุกช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ช่วยให้ผู้ประกอบการขยายตลาดและเพิ่มยอดขายได้หลากหลายช่องทาง

ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ

ระบบ OMS มีฟีเจอร์รายงานและวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้สามารถนำข้อมูลการขายและคำสั่งซื้อมาวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด ปรับปรุงสินค้าหรือการบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า

หากกำลังมองหาตัวเลือกบริการระบบ OMS ที่พร้อมดูแลอย่างครอบคลุม Scale Up Fulfilment ยินดีให้บริการคลังสินค้าพร้อมระบบ OMS แบบครบวงจร ตั้งแต่การรับคำสั่งซื้อไปจนถึงการจัดส่งและการบริการหลังการขาย ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการกระบวนการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ! สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ทาง LINE ID : https://lin.ee/HPXeKAo หรือโทร. 098 991 9356

ข้อมูลอ้างอิง:

What Is an Order Management System? A Buyer’s Guide. สืบค้นเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 จาก https://www.shopify.com/enterprise/blog/order-management-system-oms

Scale Up Fulfilment Profile

Scale Up ผู้นำด้านบริการ Fulfilment ระบบจัดการร้านค้าออนไลน์ที่ดูแลครอบคลุมทุกความต้องการด้านคลังสินค้าสำหรับธุรกิจ E-commerce ทั้งระบบ OMS (Order Management System) ระบบ WMS (Warehouse Management System) และอีกมากมาย ด้วยบริการครบวงจรที่ตอบโจทย์พ่อค้าแม่ค้ามือใหม่ รวมถึงผู้ประกอบการที่ต้องการขยายธุรกิจและจัดการออร์เดอร์ เพื่อเสริมยอดขาย พร้อมดูแลร้านค้าออนไลน์ให้ธุรกิจเติบโต

บทความอื่นๆ

Outsource Fulfilment คือกุญแจสู่ความสำเร็จ E-commerce

การจัดการคลังสินค้าและการจัดส่งที่มีประสิทธิภาพ กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอดและเติบโตได้ แต่หลายธุรกิจกลับพบว่าการจัดการระบบหลังบ้านเองนั้น เป็นเรื่องที่ท้าทายและใช้ทรัพยากรมากขึ้นเรื่อย ๆ บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่าทำไม Outsource Fulfilment Service จึงเป็นทางเลือกที่ธุรกิจ E-commerce ยุคใหม่ไม่ควรมองข้าม Outsource Fulfilment Service คืออะไร ? Outsource Fulfilment Service คือการมอบหมายให้ผู้เชี่ยวชาญภายนอกดูแลกระบวนการหลังการขายทั้งหมดของธุรกิจ ตั้งแต่การจัดเก็บสินค้าในคลัง การจัดการสต๊อก การแพ็กสินค้า ไปจนถึงการจัดส่งถึงมือลูกค้า บริการนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และมุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจด้านอื่นได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลกับการจัดการคลังสินค้าและการจัดส่ง 1. ความท้าทายของ E-commerce ยุคใหม่ ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจ E-commerce สูงขึ้น ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น ความท้าทายเหล่านี้ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องหาระบบจัดการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดและเติบโตได้ในตลาดที่แข่งขันสูง 2. บทเรียนจาก E-commerce ต่างประเทศ ประสบการณ์จากผู้ประกอบการ E-commerce ในต่างประเทศแสดงให้เห็นว่า การใช้บริการ Fulfilment Service สามารถช่วยยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Amazon ที่ปฏิวัติวงการด้วยระบบ Fulfilment by […]

B2B, B2C และ B2B2C คืออะไร เลือกโมเดลธุรกิจอย่างไรให้สำเร็จ

ยุคที่ธุรกิจดิจิทัลเติบโตอย่างก้าวกระโดด รูปแบบการทำธุรกิจได้พัฒนาและหลากหลายมากขึ้น จากเดิมที่มีเพียง B2B (Business-to-Business) และ B2C (Business-to-Consumer) ปัจจุบันได้เกิดโมเดลธุรกิจแบบ B2B2C ที่ผสมผสานจุดแข็งของทั้งสองรูปแบบเข้าด้วยกัน หากสนใจโมเดลธุรกิจแห่งยุคอนาคต ต้องเข้าใจความแตกต่างของการทำธุรกิจรูปแบบต่าง ๆ และแนวทางการเลือกโมเดลธุรกิจที่เหมาะกับคุณ ธุรกิจแบบ B2B คืออะไร ? B2B (Business to Business) คือ รูปแบบธุรกิจที่ดำเนินการระหว่างองค์กรธุรกิจด้วยกันเอง โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานหรือการผลิตสินค้าและบริการ ธุรกิจ B2B คือธุรกิจที่มีความซับซ้อนในด้านการตัดสินใจซื้อ เนื่องจากมักเกี่ยวข้องกับมูลค่าการซื้อขายที่สูง ปริมาณจำนวนมาก และต้องผ่านกระบวนการพิจารณาจากหลายฝ่าย หากคุณกำลังสงสัยว่า B2B คืออะไร คำตอบคือเป็นการทำธุรกิจระหว่างองค์กรที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หากถามว่าธุรกิจ B2B ในไทยมีอะไรบ้าง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนได้แก่ ผู้ผลิตวัตถุดิบอุตสาหกรรม บริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจ ผู้ให้บริการระบบซอฟต์แวร์องค์กร และผู้จัดจำหน่ายสินค้าส่ง การทำตลาดสำหรับธุรกิจ B2B จำเป็นต้องเน้นการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว การนำเสนอข้อมูลเชิงลึก และการแสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่าในการลงทุน ธุรกิจแบบ B2C คืออะไร ? B2C (Business […]

COD คืออะไร ? เจาะลึกมาตรการสำหรับบริการเก็บเงินปลายทาง

ท่ามกลางการแข่งขันอย่างดุเดือดในตลาดโลกออนไลน์ การให้บริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าถือเป็นสิ่งที่จำเป็น โดยหนึ่งในบริการที่ได้รับความนิยมและช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย คือบริการเก็บเงินปลายทาง (Cash on Delivery – COD) ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ร้านค้า แต่ยังเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าได้อีกด้วย ทำความรู้จัก COD คืออะไร ? COD หรือ Cash on Delivery Service คือบริการเก็บเงินปลายทางที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถชำระค่าสินค้าเมื่อได้รับสินค้าแล้วเท่านั้น วิธีนี้ช่วยลดความเสี่ยงสำหรับลูกค้าในการชำระเงินล่วงหน้า โดยผู้ให้บริการขนส่งจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเก็บเงินและส่งต่อเงินให้แก่ผู้ขาย ซึ่งมีบทบาทสำคัญ ดังนี้ อัปเดตมาตรการส่งดี (Dee-Delivery) เพื่อคุ้มครองสิทธิและประโยชน์ของผู้บริโภคในการใช้บริการขนส่งสินค้าแบบ COD มาตรการส่งดี (Dee-Delivery) เป็นแนวทางที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กำหนดขึ้นเพื่อปรับปรุงและพัฒนาการให้บริการขนส่งสินค้าโดยเรียกเก็บเงินปลายทาง (COD) ให้มีประสิทธิภาพและมีความโปร่งใส โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ หน้าที่ของผู้ประกอบธุรกิจขนส่งที่เรียกเก็บเงินปลายทาง ผู้ประกอบธุรกิจต้องจัดทำหลักฐานการรับเงินที่มีรายละเอียดครบถ้วนและส่งมอบให้แก่ผู้บริโภคทันทีที่ได้รับชำระเงิน ผู้บริโภคมีสิทธิ์ตรวจสอบสินค้า เพื่อปฏิเสธการชำระเงินและไม่รับสินค้าได้ โดยพนักงานขนส่งจะต้องบันทึกวิดีโอ หรือภาพถ่ายไว้เป็นหลักฐาน โดยผู้ประกอบธุรกิจขนส่งจะต้องถือเงินจากผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าไว้เป็นระยะเวลา 5 วันก่อนส่งมอบให้ผู้ขาย เพื่อให้เวลาแก่ผู้ซื้อในการตรวจสอบและแจ้งปัญหากรณีสินค้าไม่เป็นไปตามที่สั่งซื้อ หรือพบว่าเป็นสินค้าที่ไม่ได้สั่งไว้ หากผู้บริโภคไม่สะดวกที่จะเปิดพัสดุต่อหน้าพนักงานจัดส่ง แต่เมื่อตรวจสอบในภายหลังพบว่าได้รับสินค้าไม่ตรงตามที่สั่ง หรือมีความชำรุดบกพร่อง ยังสามารถติดต่อขอคืนพัสดุและเงินที่ได้ชำระแล้วภายในระยะเวลา 5 […]